2025-10-29
HaiPressพิชัย ชุณหวชิร โต้สมัยเป็นหัวหน้าทีมเจรจาสหรัฐ ไม่เคยมีการหารือประเด็นเรื่องแร่หายาก แนะรัฐบาลควรตระหนักถึงมิติทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ซับซ้อนขึ้น
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ว่า ขอชื่นชมรัฐบาลไทยที่สานต่อนโยบายตามแนวทางและหลักการเดิมของทีมเจรจาภายใต้รัฐบาลพรรคเพื่อไทย โดยหลังจากทำความเข้าใจ แถลงการณ์ร่วมไทย-สหรัฐ ว่าด้วยกรอบความตกลงการค้าเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน (Framework for a United States-Thailand Agreement on Reciprocal Trade)
“ผมขอชื่นชมรัฐบาลปัจจุบันที่เดินหน้ายึดหลักผลประโยชน์ของประเทศที่มีประชาชนไทยเป็นศูนย์กลาง ตามหลักการเดิมที่ทีมเจรจาภายใต้รัฐบาลเพื่อไทยได้วางรากฐานไว้ การประกาศแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) ระหว่างไทย กับสหรัฐ ครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างกันมายาวนาน และภายใต้กรอบความตกลงฉบับใหม่นี้ ทั้งสองฝ่ายจะเดินหน้าหารือเชิงลึกเพื่อสร้างข้อตกลงการค้าที่เป็นธรรม สมดุล และยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่า เอกสารฉบับนี้เป็นเพียงแถลงการณ์ร่วม มิใช่ข้อตกลงผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ ขั้นต่อไปยังต้องเจรจารายละเอียดของตัวความตกลง ซึ่งเมื่อได้ข้อสรุปแล้ว จะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาอย่างเปิดเผย โปร่งใส เพื่อให้ผลประโยชน์ของประเทศ เกษตรกร และแรงงานไทยได้รับการคุ้มครองสูงสุด เราต้องการการค้าที่เติบโตพร้อมเกษตรกร แรงงาน และเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ
นายพิชัย กล่าวว่า ในช่วงที่ผมเป็นหัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายไทย เราทำการบ้านอย่างรอบคอบ มีการร่วมมือกับภาคเอกชน สมาคมอุตสาหกรรมและเกษตรกรทั่วประเทศ เพื่อให้เงื่อนไขการเปิดตลาดและผลประโยชน์ที่จะแลกเปลี่ยนกันสามารถทำได้จริงและเอื้อต่อเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ หลักการสำคัญของการเจรจา คือ ผลประโยชน์ร่วมและความเป็นธรรม (Mutual Benefit and Fairness) โดยไม่ใช่เพียงการเปิดตลาดสินค้า แต่รวมถึงโอกาสในการยกระดับมาตรฐานระบบเศรษฐกิจของไทย ให้โปร่งใส คล่องตัว และแข่งขันได้มากขึ้น เช่น
ปรับปรุงขั้นตอนศุลกากรและระบบใบอนุญาตให้มีความทันสมัยและลดการผูกขาด
ยกระดับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาและแรงงานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล
ป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ การสวมสิทธิ์สินค้า และการทุจริตในพิธีการทางการค้า
ส่งเสริมมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและแรงงานที่เป็นธรรม เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตควบคู่กับความยั่งยืน
สำหรับประเด็นที่ถูกกล่าวถึงว่า “ไทยจะเปิดตลาดสินค้าให้สหรัฐ ถึง 99%” นั้นต้องเข้าใจว่า ในรายละเอียดยังมีเงื่อนไขและข้อกำหนดที่ชัดเจน เช่น หลายรายการเปิดแบบ “ทยอย” หรือมี “โควตา” เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยได้ปรับตัวก่อน และหลายกลุ่มสินค้า เช่น ผลไม้เมืองหนาว หรือผลิตภัณฑ์จากนม ก็เป็นสินค้าที่เราเปิดให้ประเทศอื่นอยู่แล้ว ขณะที่สินค้าบางประเภท เช่น รถยนต์พวงมาลัยซ้าย หรือชิ้นส่วนอุตสาหกรรมบางชนิด แทบไม่มีตลาดในประเทศไทยอยู่ก่อน
ในทางกลับกัน ไทยเองก็จะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตรและพลังงานที่มีศักยภาพ เช่น
ข้าวโพด กากถั่วเหลือง DDGS สำหรับอาหารสัตว์ที่ตลาดยังต้องการ และมีศักยภาพขยายตัวได้ มีตลาดรองรับ แต่ยังขาดวัตถุดิบ
แอลเอ็นจี และผลิตภัณฑ์พลังงาน ซึ่งสหรัฐพร้อมส่งมอบในราคาที่เป็นธรรม
การจัดซื้อเครื่องบินโบอิ้ง เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการบินของไทย
ทั้งหมดนี้จะต้องเป็นไปภายใต้หลักการ “ไทยอยากซื้อ-สหรัฐอยากขาย-ต้องเป็นธรรมต่อไทย” พร้อมทั้งมีกลไกคุ้มครองเกษตรกร เช่น การกำหนด Import Window และสัดส่วนการนำเข้าต่อการรับซื้อผลผลิตในประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อภาคเกษตรกรรม เพราะเศรษฐกิจที่แข่งขันได้ เกิดจากกติกาที่เป็นธรรม ไม่ใช่การเปิดตลาดแบบไร้เงื่อนไข และความสัมพันธ์ทางการค้าไม่ใช่เรื่องใครได้ใครเสียทั้งหมด แต่เป็นความสัมพันธ์เพื่อผลประโยชน์ร่วมที่เป็นธรรม
นายพิชัย กล่าวว่า ส่วนประเด็น Rare Earth นั้น ขอยืนยันว่า ในช่วงที่ผมเป็นหัวหน้าคณะเจรจา ไม่เคยมีการหารือประเด็นนี้ในโต๊ะเจรจา และรัฐบาลควรตระหนักถึงมิติทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ซับซ้อนขึ้น แต่หากอนาคตไทยมีศักยภาพด้านนี้จริง ก็ถือเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ ที่จะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ โปร่งใส บนมาตรฐานสากล เพื่อไม่ให้ประเทศเสียประโยชน์ โดยมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ
สุดท้าย ผมขอชื่นชมเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่สานต่อเจตนารมณ์ของทีมเจรจาเดิม และหวังว่ากรอบความร่วมมือนี้จะนำไปสู่ “ข้อตกลงการค้าที่เท่าเทียม เป็นธรรม และเกิดประโยชน์ร่วมกัน” เพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและอนาคตที่ยั่งยืนของประเทศไทยในระยะยาว