รีบอ่านเลย นโยบาย 'ทรัมป์' กระทบกับหุ้นกลุ่มไหนที่น่ากังวลบ้าง
การกลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ อีกหนึ่งสมัยของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้ขณะนี้เศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มปั่นป่วน จากการเปลี่ยนแปลงของนโยบายต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และอาจสร้างความไม่แน่นอนในตลาดการลงทุนต่างๆ
โดยเฉพาะในตลาดหุ้นไทยที่ขณะนี้ดัชนีลงลึกไปต่ำสุดในรอบ 4 ปี ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากความกังวลว่าจะเกิดสงครามการค้าสหรัฐ-จีน บวกกับสถานการณ์เดิม ตลาดก็ยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาสนับสนุน และนักลงทุนยังขาดความเชื่อมั่นในการลงทุน จึงหันไปพึ่งพาสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ
นโยบายทรัมป์กระทบกับหุ้นไทยกลุ่มไหนบ้าง
กลุ่มพลังงาน: ทรัมป์ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานแห่งชาติ เพื่อลดราคาพลังงานในประเทศ และสั่งให้หน่วยงานของรัฐสนับสนุนการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติและน้ำมันเบนซินเพิ่มเติม โดยยกเว้นกฎด้านสิ่งแวดล้อมหลายข้อที่จำกัดการขุดเจาะ การดำเนินการนี้อาจเพิ่มการลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานฟอสซิล อย่างไรก็ตาม แม้สหรัฐจะเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก แต่ยังคงนำเข้าน้ำมันจากหลายประเทศ ในระยะสั้นการผลิตพลังงานและลดราคาพลังงานในประเทศ อาจทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวลงได้ แต่การขึ้นกำแพงภาษีนำเข้าเชื้อเพลิง และการคว่ำบาตรประเทศคู่แข่ง เช่น อิหร่านและรัสเซีย อาจทำให้ปริมาณน้ำมันในตลาดโลกลดลง ส่งผลให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นได้ในระยะถัดไป
กลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า: ภายใต้นโยบาย “Unleashing American Energy” ทรัมป์ได้ยกเลิกกฎที่กำหนดให้ผู้ผลิตรถยนต์ลดการปล่อยมลพิษของรถยนต์ขนาดเล็กลงครึ่งหนึ่งตั้งแต่ปี 2027 รวมถึงอาจยกเลิกเครดิตภาษีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า การเปลี่ยนแปลงนี้ จึงอาจส่งผลให้การลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าชะลอตัว และส่งเสริมการใช้ยานยนต์ที่ใช้น้ำมันมากขึ้น
กลุ่มพลังงานทางเลือก: การถอนตัวจาก Paris Agreement หรือข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยให้เหตุผลว่าข้อตกลงดังกล่าว ไม่สอดคล้องกับค่านิยมและเป้าหมายทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยการถอนตัวนี้ อาจส่งผลให้สหรัฐเพิ่มการผลิตและการใช้พลังงานจากฟอสซิล เช่น ก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและความพยายามระดับโลกในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
โดย Morgan Stanley คาดว่านโยบายนี้ อาจส่งผลให้เงินลงทุนกว่า 500,000 ล้านดอลลาร์ ไหลออกจากสหรัฐ โดยเฉพาะจากกองทุนพลังงานสะอาด ในขณะที่เอเชียมีการเติบโตของการลงทุน ESG เพิ่มขึ้น 150% ในช่วงปี 2022-23 ซึ่งอาจส่งผลให้กองทุน ESG ทั่วโลกมีการปรับพอร์ต โดยลดน้ำหนักการลงทุนในสหรัฐ และเพิ่มการลงทุนในเอเชียมากขึ้น