วรภัค รมช.คลัง ยอมรับการปรับ เอาท์ลุกค์ประเทศไทยไปสู่ระดับติดลบของฟิทช์ เป็นภารกิจเร่งด่วน ที่รัฐบาลต้องแก้ปัญหาสร้างความเชื่อมั่นทางการคลัง กลับมาให้ได้
นายวรภัค ธันยาวงษ์ รมช.คลัง เปิดเผยถึงกรณี Fitch Ratings ประกาศปรับมุมมอง (Outlook) ของไทยจาก Stable เป็น Negative โดยยังคงอันดับเครดิตที่ BBB+ ว่า เหตุผลหลักไม่ได้อยู่ที่ ตัวเลขเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องความน่าเชื่อมั่นด้านการคลังและการเมือง 3 ข้อ ได้แก่
1. หนี้สาธารณะสูงขึ้น
จากเดิมก่อนโควิดอยู่ราว 35–36% ของ GDP ตอนนี้ขึ้นมาแถว 61% และคาดว่าจะไปแตะ 65% ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หากไม่มีการปรับลดขาดดุลอย่างจริงจัง
2.ความไม่แน่นอนทางการเมือง
การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลและความเสี่ยงจากการเลือกตั้งใหม่ ทำให้ Fitch กังวลว่ากรอบการคลังระยะกลาง (Medium-Term Fiscal Strategy) จะไม่ต่อเนื่องและไม่ชัดเจน
3.เศรษฐกิจโตต่ำ
ทั้งการส่งออกถูกกดดันจากภาษีสหรัฐฯ 19% และการท่องเที่ยวที่ฟื้นช้ากว่าคาด โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ทำให้ GDP ปีหน้าอาจโตได้เพียง 2.2%
แต่สิ่งสำคัญคือ รัฐบาลนี้ แม้อายุเพียง สี่เดือน ก็ไม่ได้เพิกเฉย เราได้เริ่มวางแนวทาง การรัดเข็มขัดทางการคลัง เพื่อปรับฐานะการคลังให้กลับมาอยู่ในเส้นทางที่ยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนพ.ย.ปีนี้เราจะเห็นการจัดทำ กรอบกรอบการคลังระยะปานกลางฉบับใหม่ ซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลนี้จะวางโร้ดแมปชัดเจนต่อสาธารณะว่าจะปรับขาดดุลลงอย่างไร เพื่อไม่ให้หนี้หลุดพ้นจาก กรอบเพดานที่กำหนดได้
ทั้งนี้ แนวคิดหลักคือ สร้างความน่าเชื่อมั่น ว่าการขาดดุลจะทยอยลดลงหลังปีงบประมาณ 2569 และหนี้ต่อ จีดีพี จะอยู่ในระดับที่ไม่เกิน 65% พร้อมทั้งเพิ่มรายได้ภาครัฐและจัดลำดับรายจ่ายอย่างมีวินัย ดังนั้น มุมมอง Negative ของ Fitch ครั้งนี้ ไม่ได้หมายถึงวิกฤตใกล้ตัว แต่เป็นสัญญาณเตือนว่า หากไทยไม่แสดงแผนการคลังที่ชัดเจน ความเชื่อมั่นก็จะสั่นคลอน และนี่คือโจทย์ที่รัฐบาลเราต้องทำให้ได้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เพื่อให้ตลาดและนักลงทุนเห็นว่า ประเทศไทยยังรักษาวินัยการคลังและความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจได้