'จีซี' ตั้งเป้าพลิกขาดทุน ฝ่าจุดต่ำสุด ลุยลดต้นทุน เพิ่มรายได้ 4,500 ล้านบาท 5 ปี หมื่นล้าน
นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล หรือจีซี เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทตั้งเป้าพลิกธุรกิจด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งจขัน เพื่อปรับโครงสร้างต้นทุน เสริมศักยภาพการแข่งขัน และวางรากฐานสู่การเติบโตในอนาคต เพื่อผ่านเศรษฐกิจผันผวนและจุดต่ำสุดอุตสาหกรรมปิโตรเคมี โดยตั้งเป้าลดต้นทุน และเพิ่มรายได้ 4,500 ล้านบาทต่อปี และตั้งเป้า 10,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปี หรือปี 73 ผ่านมาตรการลดค่าใช้จ่าย เสริมสภาพคล่องจากสินทรัพย์ที่มี และปรับปรุงการดำเนินงานให้มีศักยภาพมากขึ้น เสริมประสิทธิภาพองค์กร พร้อมขยายธุรกิจมูลค่าสูงและคาร์บอนต่ำ
ส่วนผลการดำเนินงานปี 67 บริษัทมีรายได้รวม 604,045 ล้านบาท ลดลง 2% จากปีก่อน และขาดทุนสุทธิ 29,811 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 999 ล้านบาท จากผลประกอบการของกลุ่มผลิตภัณฑ์โรงกลั่นที่อ่อนตัวลงตามค่าการกลั่น โดยส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลกับน้ำมันดิบปรับลดลงเป็นหลัก และผลประกอบการของกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังคงมีปัจจัยกดดันจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
“ท่ามกลางจุดต่ำสุดของอุตสาหกรรม จีซียังเดินหน้าพลิกธุรกิจ หยุดภาวะขาดทุน เพื่อเร่งนำธุรกิจกลับสู่สถานการณ์ปกติและมุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพและมุ่งขยายไปยังธุรกิจที่มีมูลค่าสูงและคาร์บอนต่ำ มั่นใจว่าคนของเรามีศักยภาพพร้อมที่จะสร้างความแตกต่าง เพื่อปรับธุรกิจให้ตอบสนองต่อแนวโน้มอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลง ส่วนกรณีที่นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. ออกมาประกาศว่า ได้มีการเจรจาหาพันธมิตรหลายรายเพื่อเข้ามาร่วมลงทุนในกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น ซึ่งรวมถึงจีซีนั้น จากการพูดคุยกับซีอีโอ ปตท. มองว่า ธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นยังเป็นธุรกิจหลักของ ปตท. การที่ ปตท. หาพาร์ตเนอร์เข้ามานั้นก็เป็นการคัดสรรให้บริษัทลูกแข็งแรงมากขึ้น”
นอกจากนี้ จะเสริมความแข็งแกร่งด้วยมาตรการระยะกลางผ่าน 3 แนวทางสำคัญ ได้แก่ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ในระยะสั้น จีซีได้ดำเนินมาตรการเร่งด่วนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และรักษาเสถียรภาพของธุรกิจ โดยบรรลุข้อตกลงการจัดหาอีเทนกับ ปตท. คาดว่าจะได้รับการจัดสรรปริมาณอีเทนเพิ่มขึ้นอีก 20% จากปี 67 ทั้งยังบริหารสินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และลดค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน รวมถึงดำเนินมาตรการเสริมสภาพคล่องผ่านวงเงินสินเชื่อหมุนเวียน เพื่อรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและรองรับการเติบโตในอนาคต
ในระยะยาว GC เป็นรายแรกจะที่นำเข้าอีเทนจากสหรัฐมาใช้ในประเทศไทย เพื่อทดแทนวัตถุดิบอื่นๆ โดยได้ลงนามข้อตกลงร่วมกับ ปตท. และพันธมิตรระดับโลก ได้แก่ บริษัทย่อยใน Enterprise Products Partners บริษัท เอ็มไอเอสซี เบอร์ฮาด และบริษัท ไทยแท้งค์เทอร์มินัล จำกัด เพื่อจัดหาและขนส่งอีเทนคุณภาพสูง 400,000 ตันต่อปี เป็นระยะเวลา 15 ปี โดย GC สามารถนำอีเทนมาใช้เป็นวัตถุดิบได้โดยไม่ต้องปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของโรงงาน ซึ่งได้รับการออกแบบให้รองรับอีเทนได้ตั้งแต่ต้น ลดความจำเป็นในการลงทุนเพิ่มเติม คาดว่าโครงการจะเริ่มดำเนินการในปี 2572
2.การเสริมศักยภาพธุรกิจมูลค่าสูง GC เดินหน้า allnex SEA Hub ในระยอง ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในเฟสแรก และคาดว่าจะตัดสินใจลงทุนภายในปี 2568 เน้นสารเคลือบด้วยน้ำ (Waterborne Coatings) และเรซิน (Coating Resins) ชนิดพิเศษ เพื่อขยายตลาดในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ และผลักดัน allnex ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องผ่านกลยุทธ์ขยายตลาดและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ในปี 2567 allnex ได้เพิ่มกำลังการผลิตในโรงงานที่ใหญ่ที่สุดที่ มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน และลงทุนในโรงงานแห่งใหม่ที่เมืองมะหาด ประเทศอินเดีย คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3/2568 ช่วยเสริมศักยภาพด้านการผลิตและการกระจายสินค้าในตลาดที่มีการเติบโตสูง
นอกจากนี้ การพัฒนามาบตาพุดเป็น ศูนย์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Specialty Hub) ยังถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของ GC รองรับธุรกิจที่มีมูลค่าสูงและคาร์บอนต่ำ โดยอยู่ระหว่างการทำงานร่วมกับภาครัฐเพื่อดึงดูดพันธมิตรระดับโลกที่จะส่งเสริมธุรกิจทั้งห่วงโซ่อุปทาน เสริมศักยภาพการแข่งขันของไทย ควบคู่กับการศึกษาความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจรายอื่นๆ เพื่อนำโครงการใหม่ๆ เน้นอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างศูนย์กลางอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์เฉพาะทางที่ครบวงจร เช่น การร่วมมือกับ Toray เพื่อศึกษาพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ที่เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ สิ่งทอ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยได้รับทุนสนับสนุนญี่ปุ่น จากรัฐบาล คาดว่าจะศึกษาแล้วเสร็จในปี 2570
3.การเติบโตในธุรกิจที่ยั่งยืน GC มุ่งขับเคลื่อนความยั่งยืนผ่านโซลูชันเคมีภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ครอบคลุมตลาดและอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ตั้งแต่บรรจุภัณฑ์ พลังงานสะอาด วัสดุชีวภาพ ไปจนถึงเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ ตอบสนองแนวโน้มของตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจหมุนเวียน